Saturday, January 28, 2017

เอสซีจีแถลงผลประกอบการปี 2559 กำไรหลักจากธุรกิจเคมีภัณฑ์และสินค้านวัตกรรมโตต่อเนื่อง เพิ่มความเร็วแข่งขันธุรกิจ เดินหน้าตลาด ASEAN

ผลประกอบการเอสซีจีปี 2559 มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และต้นทุนพลังงาน เชื่อมั่นปี 2560 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่วนอาเซียนดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมยังคงผลักดันการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองต่อปัจจัยท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายรุ่งโรจน์  รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2559 มีรายได้จากการขาย 423,442 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากปีก่อน มีกำไร 56,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 112,549 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม 
ในไตรมาสที่สี่ปี 2559 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 99,613 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง มีกำไร 12,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลประกอบการของบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น และลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน Cracker ของ ROC เป็นเวลา 40 วัน และราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลงตามสถานการณ์แข่งขัน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน ในปี 2559
เอสซีจี มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน 97,669 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน เนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าปรับตัวลง ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มูลค่า 126,055 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีมูลค่า 539,688 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี 2559 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 170,944 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงขึ้น มีกำไรสำหรับปี 8,492 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่ลดลง และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 188,163 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากปีก่อน เป็นผล มาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ในตลาดโดยรวมลดลง กำไรสำหรับปี 42,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปีก่อน เนื่องจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 74,542 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 3,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ด้านการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์เอสซีจีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเอสซีจีเชื่อมั่นว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐ รวมถึงการบริโภคในประเทศ และการค้าขายระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน ทั้งนี้ ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนเดินหน้าตามแผน โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตันต่อปี และโรงงานกระดาษคราฟท์ในประเทศเวียดนามโรงงานแห่งที่สอง กำลังการผลิต 243,000 ตันต่อปี ทำให้มีกำลังผลิตรวมเป็น 489,000 ตันต่อปี ซึ่งทั้งโรงงานปูนซีเมนต์ และโรงงานกระดาษคราฟท์ ได้ผลิตสินค้าออกสู่ตลาดแล้วในต้นปี 2560 ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในสปป.ลาว อยู่ระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องการผลิต อย่างไรก็ตาม เอสซีจีได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ อาทิ การปรับตัวของราคาของวัตถุดิบเคมีภัณฑ์ และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีคู่แข่งที่มีศักยภาพ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2560 คาดการณ์ว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อีกทั้ง มีการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ
จากการที่เอสซีจีได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้อย่างรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ อาทิ การสร้าง “สุขาเพื่อประชาชน” ห้องสุขาน็อคดาวน์บริเวณท้องสนามหลวง เสร็จภายใน 3 วัน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปต่างๆ ได้แก่ โครงสร้างระบบ โมดูลาร์ของ SCG Heim ระบบหลังคา ผนังสมาร์ทบอร์ด เป็นต้น
โดยในปี 2559 เอสซีจีใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 4,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม สำหรับยอดขายสินค้า HVAในปี 2559 คิดเป็น 160,910 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม นอกจากการพัฒนานวัตกรรมส่งผลให้มีรายได้ต่อเนื่อง เอสซีจียังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้พนักงานสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแต่ยังคงประสิทธิภาพพร้อมปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และพฤติกรรมของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
คณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 19.00 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงิน 10,198 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท รวมเป็นเงิน ประมาณ 12,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าว ให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 7 เมษายน 2560 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 เมษายน  2560 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2560) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2560 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี

------------------------------

Monday, November 16, 2015

SRICHA ฝ่าวิกฤติราคาน้ำมันตกต่ำ ทำกำไร 296 ล้าน “เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับเหมาระดับโลก เข้าประมูลงานใหญ่หลายหมื่นล้าน”

บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SRICHA ผู้ประกอบการชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เผยกำไร 9  เดือนแรกกว่า  296 ล้านบาท 

            นายกฤษฎา โพธิสมภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. ศรีราชาคอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA ผู้เชี่ยวชาญงานรับเหมาก่อสร้างโลหะในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการช่วงเก้าเดือนของบริษัทฯ ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน  2558   มีรายได้รวม 1,361 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 96 สตางค์ต่อหุ้น   ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,062.73 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 646.78  ล้านบาท สาเหตุที่รายได้ลดลงมีผลมาจากการที่บางโครงการได้สิ้นสุดลง และจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำเป็นประวัติศาสตร์ จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายในธุรกิจพลังงานประสบกับสภาวะขาดทุน ทำให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและพลังงานชะลอการลงทุนโครงการใหม่ ส่งผลให้งานก่อสร้างลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม SRICHA ยังมองหาช่องทางและโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้และผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของเรา จะเห็นว่าตัวเลขของผลประกอบการของเรา ลดลง แต่ยังมีกำไรอยู่ มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้จะได้เห็นโครงการใหม่ๆ    ของบริษัทฯ
นายกฤษฎา เปิดเผยถึงพันธมิตรล่าสุดว่า ตอนนี้ทางศรีราชา ได้เซ็น MOU เป็นพันธมิตรร่วมกับบริษัท  Amec Foster Wheeler ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งนี้การร่วมงานกับบริษัทชั้นนำระดับโลกจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับงานโครงการใหญ่ในต่างประเทศมากขึ้น พร้อมกันนี้จะทำให้บริษัทก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างระดับสากลต่อไป
 “ปัจจุบัน SRICHA มีมูลค่าปริมาณงานในมือกว่า 1,200 ล้านบาททั้งงานก่อสร้างในประเทศ และงานซ่อมบำรุงและดูแลรักษา (Maintenance) เครื่องจักรในโครงการ Ambatovy ซึ่งเป็นโรงงานถลุงเหมืองแร่ที่ประเทศมาดากัสการ์ ระหว่างนี้บริษัทเตรียมเสนองานก่อสร้างใหม่หลายโครงการ มูลค่ารวมจะสูงกว่า 10,000 ล้านบาท  โดยทุกงานทุกโครงการเป็นการรับงานแบบสัญญาเปิด บริษัทสามารถเพิ่มการรับรู้รายได้จากมูลค่างานใน ช่วงเริ่มเสมอ” นายกฤษฎากล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับบริษัท :
บริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ  Sriracha Construction Public Company หรือ บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2537 โดยนายบุญเครือ เขมาภิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ และกลุ่มทีมงานวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 12ท่าน เพื่อดำเนินธุรกิจงานก่อสร้างโลหะในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Mechanical Construction) แบบครบวงจร ได้แก่ งานออกแบบรายละเอียดทางวิศวกรรม งานจัดหาวัตถุดิบในการผลิต โดยมุ่งเน้นการรับงานก่อสร้างโลหะในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลักด้วยทุนจดทะเบียน 310 ล้านบาทบริษัทฯ มีจุดเด่นอยู่ที่ทีมงานวิศวกรระดับสูงที่มีประสบการณ์ในงานรับเหมา ก่อสร้างงานโลหะหรือเครื่องกลมากกกว่า 30 ปี ความสามารถในการรับงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญสูง และสามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา รวมถึงสถิติการทำงาน ก่อสร้าง ที่ปลอดภัยไม่มีอุบัติเหตุ และมีประสบการณ์รับเหมาก่อสร้างโรงงานมากว่า 50 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมพลังงานโรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี โรงถลุงแร่ โรงงานอาหารและเกษตรขนาด ใหญ่อาทิ โครงการโรงงานถลุงแร่ที่ประเทศมาดากัสการ์ มูลค่างานกว่า 8,000 ล้านบาท 
โครงการโรงกลั่นน้ำมันเอกซอนโมบิล (เอสโซ) ที่ประเทศสิงคโปร์ โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ โรงกลั่นน้ำมันเอสโซที่จังหวัดชลบุรี และงานโรงแยกแก๊ส ประเทศการ์ตาเป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับความเชื่อมั่นไว้วางใจจากบริษัท รับเหมาก่อสร้างระดับโลก อาทิ บริษัท ฟอสเตอร์ วีลเลอร์ และ บริษัท เบคเทล จากสหรัฐอเมริกา และบริษัท เจจีซี (JGC) จากประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตโครงสร้างเหล็กระดับสูงถึง 20,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิต และติดตั้งระบบท่อ 1,000,000 db ต่อปี                                                         

Friday, September 25, 2015

“ดีเจพุฒ” บุกงาน “กรุงศรี มันนี่ เฟสติวัล และคอนซูมเมอร์ เอ็กซ์โป” ชวนคนไทยร่วมกิจกรรมมหกรรมการเงินครบครัน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) จัดงาน “กรุงศรี มันนี่ เฟสติวัล และคอนซูมเมอร์ เอ็กซ์โป มหกรรมการเงินที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินและการลงทุน ด้วยสิทธิประโยชน์และโปรโมชั่นพิเศษ ระหว่างวันที่ 24 - 27 กันยายน 2558 ณ ลานกิจกรรม  ชั้น เดอะมอลล์ บางกะปิ
            ซึ่งในวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายนนี้ เวลา 16.30 น.  ภายในงานพบกับหนุ่มสุดฮอตเนื้อหอม ดีเจพุฒ-พุฒิชัย เกษตรสิน  ที่จะมาสร้างความสนุกสนานและร่วมกิจกรรมบนเวที กับผู้ที่มาในงานด้วย  กิจกรรมกรุงศรี มันนี่ เฟสติวัล และคอนซูมเมอร์ เอ็กซ์โป ยังมีความบันเทิงสนุกสนานด้วยการแสดงและมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดาราชื่อดัง อาทิ  สงกรานต์ เดอะวอยซ์, ซานิ, ตั้ม วราวุธ ทุกวันตลอดระยะเวลาการจัดงาน

ด้าน นายสมหวัง โตรักตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและแบรนด์ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า กรุงศรี มันนี่ เฟสติวัล และคอนซูมเมอร์ เอ็กซ์โป มุ่งตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของลูกค้าและผู้บริโภคในทุกกลุ่ม โดยธนาคารและบริษัทในเครือได้รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ยานยนต์จากพันธมิตรธุรกิจ ร่วมนำเสนอให้กับผู้บริโภค โดยกรุงศรีได้เดินสายจัดงานในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ สำหรับงานในครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะได้พบกับลูกค้าและผู้บริโภคในพื้นที่กรุงเทพฯ และจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภคได้ปรึกษาในเรื่องการเงิน รวมทั้งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าภายใต้ข้อเสนอพิเศษมากมายถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ”
ทั้งนี้ กรุงศรีจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และตลอดทั้งปีที่ผ่านมา การจัดงานมหกรรมการเงินทั้งใน    ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน มีผู้เข้างานรวมกว่า 120,000 คน
          สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการทางการเงินของธนาคารหรือบริษัทในเครือที่ร่วมรายการภายในงาน กรุงศรี มันนี่ เฟสติวัล และคอนซูมเมอร์ เอ็กซ์โป รับสิทธิพิเศษมากมายภายในงานอาทิเช่น
·  ดอกเบี้ย 0กับผลิตภัณฑ์ของธนาคาร และร้านค้าที่ร่วมรายการภายในงาน
·       รับฟรี.. ของกำนัลจากผลิตภัณฑ์และบริการที่ร่วมรายการ
·       สิทธิ์เล่นเกม (1 ธุรกรรม ต่อ 1 สิทธิ์) เพื่อรับสิทธิ์แลกซื้อ iPhone 6 (16 GB) หรือ iPad Mini    (16 GB) ในราคาเพียง 999 บาท หรือรับของสมนาคุณพิเศษมากมาย
·       สมัครบัตรเครดิตเครือกรุงศรี อนุมัติพร้อมรับบัตรได้ทันที่ภายในงาน

Wednesday, September 23, 2015

คปภ. เผย 8 เดือน ประชาชนทำไมโครอินชัวรันส์ใกล้เป้า 1 ล้านฉบับ

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เผย ภาพรวมกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ของธุรกิจประกันภัย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2558  มีจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 624,204 กรมธรรม์ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 ล้านฉบับ
ทั้งนี้ ภาพรวมกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) จากบริษัทประกันภัย 24 บริษัท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2558 มีกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่ จำนวนทั้งสิ้น 624,204 กรมธรรม์ คิดเป็นร้อยละ 62.42 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 ล้านฉบับ แยกเป็นของบริษัทประกันชีวิต 7 บริษัท จำนวน 59,162 กรมธรรม์ บริษัทประกันวินาศภัย 17 บริษัท จำนวน 469,200 กรมธรรม์ และกรมธรรม์ประกันภัย 200 จากบริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 24 บริษัท มีจำนวนทั้งสิ้น 95,842 กรมธรรม์ เบี้ยประกันภัยรับจำนวน 19.17 ล้านบาท และมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแล้วจำนวน 391 ราย ทุกรายมีการดำเนินการจ่าย ค่าสินไหมทดแทนเรียบร้อยแล้วจำนวนทั้งสิ้น 8.32 ล้านบาท
จังหวัดที่มียอดการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย 200 สูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และอุดรธานี ตามลำดับ โดยช่องทางการจำหน่ายสูงสุดได้แก่ตัวแทนบริษัทประกันภัย รองลงมาได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และไปรษณีย์ไทย
“ไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 สำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการฯ ทั้ง 24 บริษัท ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้ประชาชนตระหนักและเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำประกันภัยสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัย 200 ซึ่งจะทำให้ยอดการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”เลขาธิการ คปภ. กล่าว
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า กรมธรรม์ประกันภัย 200 เป็นกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ให้ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันภัยเพื่อแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนของตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ธุรกิจประกันภัยยังมีการพัฒนาการประกันภัยสำหรับรายย่อยประเภทอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) สำหรับรายย่อย การประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัด การประกันภัยท่องเที่ยวสุขใจสำหรับรายย่อย การประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประเภทสามัญ และการประกันภัยข้าวนาปี เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ฝากเตือนผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัย 200 ขอให้ตรวจสอบ  วันหมดอายุกรมธรรม์ เพราะการต่ออายุในปีต่อไป หากผู้เอาประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยภายใน 30 วัน นับจากวันสิ้นสุดความคุ้มครอง จะได้รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย แต่หากผู้เอาประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยภายหลังจาก 30 วัน นับจากวันสิ้นสุดความคุ้มครอง จะต้องเริ่มนับระยะเวลารอคอยใหม่ 120 วัน จึงจะได้รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วน คปภ. 1186 หรือเว็บไซต์ www.oic.or.th หรือ ฝ่ายสื่อสารองค์กร โทรศัพท์ 02-515-3998-9 ต่อ 8307 โทรสาร 02-513-1437http://www.facebook.com/PROIC2012

Tuesday, March 17, 2015

ธนาคารกรุงไทยชวนคนไทยร่วมแบ่งปันสิ่งดีดี ไปกับแคมเปญ

ธนาคารกรุงไทย ธนาคารที่มุ่งมั่นดูแล พัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อสนับสนุนการเติบโต สู่ความมั่นคงอย่างยังยืนแก่ลูกค้า สร้างคุณภาพที่ดีขึ้นแก่สังคม และสิ่งแวดล้อม  คือ แนวคิด " Growing Together  กรุงไทย ก้าวไกล ไปกับคุณ" และในปีนี้ทางธนาคารได้ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมที่ส่งเสริมประสบการณ์เรื่องราว สร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มเป้าหมายได้ร่วมแชร์ และถ่ายทอดความประทับใจกับบริการ ATM  ไปกับธนาคารกรุงไทย เตรียมส่งแคมเปญ “สุดยอดเรื่องราวกับธนาคารกรุงไทย ( KTB The Best Story)” ภายใต้โครงการที่มี 2 ส่วนคือ
  1. Viral Clip โดยเป็นการนำเสนอเรื่องราวความประทับใจผ่าน Viral Clip รวม 4 ชุด  อันเป็นเรื่องราวความงดงามของการช่วยเหลือแบ่งปัน  ความรักและเอาใจใส่ในกันและกัน เพื่อสุดท้ายปลายทาง คือความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน
  2. โครงการประกวดคลิปสั้น “Share Smile With KTB ATM โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานแชร์ประสบการณ์ที่ดีกับ ATM กรุงไทย ในรูปแบบคลิปสั้น
     
    โดยในโปรเจ็ค Viral Clip สำคัญครั้งนี้ ได้ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงที่คร่ำหวอดในวงการ ภาพยนตร์ รายการ ละคร  “นายบรรจง สินธนมงคลกุล” อาทิ ละครห้องหุ่น , ภาพยนตร์ TRUE HD “ เรารักน้ำท่วม” Viral AIS prelaunch for new 3G ฯลฯ มาเป็นผู้ดูแลเรื่องราวในตอนแรกของ  Viral Clip ตอนที่ 1 ชื่อ แบ่งปันกันและกันความยาว 3 - 4 นาที  นายบรรจง กล่าวว่า เป็นเรื่องราวของหนุ่มออฟฟิศคนหนึ่ง ที่ตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบ และรักในงาน แต่เขากลับสนใจที่จะอยู่ในโลกของตนเองมากเกินไป จนลืมไปว่า ความสุขที่อยู่รอบๆตัวเขา จริงๆแล้ว มันคือเรื่องราวของการแบ่งปันสิ่งดีงามให้กับเพื่อนมนุษย์ เรื่องของหนุ่มคนนี้ จึงเห็นชีวิตประจำวันที่รูปแบบซ้ำๆ และก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป จากคนที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องการแบ่งปัน ในวันที่เขาพบวิกฤต ตัวเขาเองกลับได้รับการช่วยเหลือแบ่งปันจากผู้คนเหล่านั้น และทำให้ท้ายที่สุด จึงเริ่มเข้าใจความหมายของการแบ่งปัน นั่นคือความสุขที่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยากฝากทุกคนให้ติดตามเรื่องราวที่เป็นประโยชน์สร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับตัวเองและสังคม โดยจะออกอากาศให้ชมกันทาง Social Media ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะได้แง่คิดดีดีอย่างแน่นอนครับ” สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และกิจกรรมได้ที่ www.ktbthebest story.com / facebook page : KTB Care

Monday, March 16, 2015

ธนชาตประกันภัย เผยผลงานปี 2557 กำไรกว่า 1,000 ล้านบาท ปีนี้รุกต่อเนื่อง

ธนชาตประกันภัย เผยผลประกอบการปี 2557 ได้เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้นกว่า 5,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% ปีนี้เดินหน้ารุกตลาดต่อเนื่อง หลังทิศทางตลาดประกันภัยเริ่มสดใส ส่ง 2 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย “บ้าน - เด็ก” หวังตอบโจทย์ทุกความกังวลของลูกค้า พร้อมยกระดับบริการ มุ่งรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง มั่นใจเป็นไปตามเป้าหมาย 6,500 ล้านบาท
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2557 ว่า จากการที่บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคมากที่สุด ทำให้ลูกค้าให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ ส่งผลให้ปีนี้เรา สามารถสร้างผลกำไรได้สูงสุดถึง 1,047 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน โดยมาจากการบริหารจัดการด้านการลงทุน การบริหารจัดการความเสี่ยง การบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ และมีการรักษาอัตราการต่ออายุของกรมธรรม์ ด้วยการมอบบริการหลังการขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 5,895 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน
สำหรับปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 6,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน มุ่งดูแลรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่กว่า 1.3 ล้านกรมธรรม์ ด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี พร้อมยกระดับการให้บริการ ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า พัฒนาระบบงานการขาย ควบคู่ไปกับการจัดอบรมความรู้ให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการต่ออายุให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ด้วยการออก 2 ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครอง “บ้าน และ เด็ก” คือ “ธนชาต Home Insurance” และ “ธนชาต Happy PA for Child”
“ธนชาต Home Insurance” หรือ ประกันภัยรักบ้าน ห่วงบ้าน เป็นประกันภัยบ้านและคอนโดที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมครบทุกภัยพื้นฐานที่จะเกิดขึ้นในบ้าน โดยชูจุดเด่นความคุ้มครองจากการโจรกรรม เนื่องจากพบว่าภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ปัญหาที่เกิดจากอาชญากรรมทั้งจากการบุกรุก ทำลายทรัพย์สิน และการถูกขโมย อยู่ในอัตราความเสี่ยงภัยที่สูง จึงทำให้เจ้าของบ้านมีความกังวล ในเรื่องถูกโจรกรรมมากที่สุด โดยผลิตภัณฑ์จะมอบความคุ้มครองให้สูงสุดถึง 2 แสนบาท และหากเกิดความเสียหายรุนแรงต่อตัวบ้านจนไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ ก็จะมีค่าเช่าบ้านมอบให้รวมสูงสุดถึง 2 แสน 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ ยังมอบความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับสมาชิกในบ้านและบุคคลภายนอกที่มาเยี่ยมเยือนในบ้าน ค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียงวันละ 3 บาท นับเป็นการมอบความคุ้มครองให้ทั้งครอบครัว ได้ครบวงจรอย่างแท้จริง
“ธนชาต Happy PA for Child” หรือ ประกันอุบัติเหตุถึงลูกถึงคุณ เป็นผลิตภัณฑ์ประกันอุบัติเหตุที่เน้นให้ความคุ้มครองกลุ่มครอบครัวที่มีบุตร ซึ่งได้ทดลองเปิดตลาดมาแล้วระยะหนึ่ง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 300% จากปีก่อน และจากการศึกษาทำวิจัยกับลูกค้ากลุ่มนี้ต่อเนื่อง ในปีนี้จึงได้พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ด้วยการขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมจาก 3 โรค เพิ่มเป็น 4 โรคที่เด็กเป็นบ่อย ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคอาหารเป็นพิษ และโรคลำไส้อักเสบแบบเฉียบพลัน โดยจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้สูงสุดครั้งละ 5 หมื่นบาท ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการรักษา ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ยังสามารถเบิกได้ นอกจากนี้ ความพิเศษของกรมธรรม์ จะคุ้มครองพ่อหรือแม่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ด้วยผลตอบแทนสูงสุดถึง 2 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้ทันที 1 ล้านบาท และดูแลบุตรต่อเนื่องให้อีก 5 ปี แบ่งจ่ายเป็นปีละ 2 แสนบาท เบี้ยประกันภัยเพียงวันละ 4 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าตลาดจะให้การตอบรับที่ดีกับผลิตภัณฑ์นี้อย่างแน่นอน
นายพีระพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจประกันภัยด้านรถยนต์ ความพร้อมในการให้บริการของอู่รถยนต์ในเครือที่มีคุณภาพ ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และการจัดการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเลือกใช้บริการแก่ลูกค้า โดยเฉพาะสาขาของธนาคารธนชาตที่มีให้บริการกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ และช่องทางขายประกันภัยออนไลน์แบบครบวงจร www.thanachartinsurance.co.th จะทำให้บริษัทฯ เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

Wednesday, March 11, 2015

“คปภ. เผยรายงานช่องทางการขายประกันภัยยอดนิยม ปี 2557”

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.เปิดเผย ตัวเลขการรับประกันภัยจำแนกตามช่องทางการจำหน่าย ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม 2557 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งสิ้น 498,753ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 13.00 และมีเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทั้งสิ้น 205,247 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 1.05 ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากประชาชนมีความตื่นตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภัยธรรมชาติ และสถานการณ์ทางการเมือง จึงทำให้ตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ ช่องทางการขายประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การขายผ่าน ตัวแทน โดยมีจำนวนเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 257,840 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.97 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทุกช่องทาง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.53 รองลงมาได้แก่การขายผ่าน ธนาคาร” (Bancassurance) โดยมีเบี้ยประกันชีวิตทั้งสิ้น 207,642 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.86 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทุกช่องทาง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตราเร่งที่ร้อยละ 21.59 ตามมาด้วยการขายผ่าน โทรศัพท์” โดยมีเบี้ยประกันชีวิตทั้งสิ้น 13,179 ล้านบาท     คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.66 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทุกช่องทาง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.31ซึ่งบริษัทประกันชีวิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดในการขายผ่านตัวแทนสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ บริษัท เอไอเอ จำกัด บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชนและบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชนส่วนช่องทางการขายประกันวินาศภัยที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การขายผ่าน นายหน้าโดยมีจำนวนเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 118,843 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.10 ของเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทุกช่องทาง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.30 โดยประกันภัยรถ และประกันภัยเบ็ดเตล็ด ประเภทการประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน มีจำนวนเบี้ยรับรวมสูงสุด ตามลำดับ รองลงมาได้แก่การขายผ่านตัวแทน โดยมีเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งสิ้น 30,061 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.44 ของเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทุกช่องทาง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.96 ตามมาด้วยการขายผ่าน ธนาคาร (Bancassurance) โดยมีเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งสิ้น 25,499 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.25 ของเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทุกช่องทาง หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.14 ซึ่งบริษัทประกันวินาศภัยที่มีส่วนแบ่งการตลาดในการขายผ่านนายหน้าสูงสุดได้แก่ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชนบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชนและบริษัทโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)ตามลำดับ

          เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่าสำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางการจำหน่วยกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อให้ประชาชนในวงกว้างสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยได้อย่างเพียงพอ และทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมให้ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยมีมาตรฐานจรรยาบรรณและแนวปฏิบัติที่ดีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อประชาชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ประกันวินาศภัย ประชาชนควรศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง รายละเอียด และข้อยกเว้นให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด

Tuesday, February 10, 2015

ธนชาตประกันภัย สร้างปรากฏการณ์การบริการรูปแบบใหม่ เปิดตัว ‘ธนชาตประกันภัยออนไลน์’ บริการประกันภัยออนไลน์ที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย

 ธนชาตประกันภัยตอบโจทย์ความต้องการคนยุคออนไลน์ เปิดบริการรูปแบบใหม่ “ธนชาต ประกันภัยออนไลน์” www.thanachartinsurance.co.th บริการประกันภัยออนไลน์ที่การันตีว่าครบวงจรที่สุดในประเทศไทย พร้อมคุณสมบัติบริการที่โดดเด่น ภายใต้สโลแกน ธนชาตประกันภัยออนไลน์ ประกันง่ายง่าย คลิ๊กได้ คุ้มครองได้มากกว่า คาดลูกค้าใช้บริการกว่า 730,000 ราย

          นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตและการทำธุรกรรมด้านการเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ธนชาตประกันภัยซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงเปิดบริการ “ธนชาตประกันภัยออนไลน์” www.thanachartinsurance.co.th บริการประกันภัยออนไลน์ที่การันตีว่าครบวงจรที่สุดในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการและความจำเป็นของผู้ใช้บริการ ที่มาพร้อมกับ 16 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อลูกรัก หรือแม้แต่ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งนับว่ามีจำนวนการให้บริการที่มากที่สุดในแวดวงประกันภัย ณ ขณะนี้ พร้อมคุณสมบัติของการบริการที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ได้แก่ การซื้อประกันภัยในราคาคุ้มค่า โปร่งใส และตรงใจที่สุด การันตีความครบวงจรที่สุดในตลาดประกันภัย ตั้งแต่เริ่ม->ชำระเงินทันที->ุ้มครอง ภายใต้สโลแกน ธนชาตประกันภัยออนไลน์ ประกันง่ายง่าย คลิ๊กได้ คุ้มครองได้มากกว่าและระบบต่ออายุประกันภัยที่ดีที่สุดในตลาดประกันภัย ต่ออายุได้ทันทีแม้ไม่มีใบต่ออายุภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมระบบสมาชิกที่การันตีว่าปลอดภัยและส่วนตัวที่สุด (member login)

          นอกจากนี้ นางสาวธัญลักษณ์ สุภาสูรย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส ฝ่ายการตลาด E-Business บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าบริการ “ธนชาตประกันภัยออนไลน์” ยังมีระบบการให้บริการสุดอัจฉริยะเพิ่มเติมอื่นๆ อีก 7 ระบบ ได้แก่ 1) ระบบสนับสนุนการแจ้งเคลมด้วยตนเอง ทั้งเคลมประกันรถยนต์และประกันอุบัติเหตุ 2) ระบบสนับสนุนการค้นชื่อโรงพยาบาลในเครือ 3) ระบบค้นหาอู่ซ่อมได้ทันใจ มี Google Maps และสามารถประเมินผลความพึงพอใจของอู่ได้ด้วย 4) ระบบ
ความปลอดภัย SSL ของเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับระดับสากล 5) ระบบสมาชิกที่สามารถอัพเดทข้อมูลของสมาชิกปัจจุบันและสมาชิกใหม่ประกันภัยได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด 6) ระบบการเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ที่ทำได้ตลอดเวลากับโทรศัพท์เคลื่อนที่และโซเชียลเน็ตเวิร์ค อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูป กูเกิลพลัส และ 7) ระบบเลือกประกันที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้จากฟังก์ชั่น Help Me Choose (ฟังก์ชั่นให้เราช่วยเลือก) อีกด้วย

           จากตัวเลขพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต พบว่าค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้งานโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ ชั่วโมงต่อวัน ในปี 2556 เป็น 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน เรียกได้ว่าคนใช้เวลาเกือบ ใน ของวันเพื่อใช้อินเทอร์เน็ต จนได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่ง สังคมออนไลน์’ ทั้งนี้ เนื่องจากมีความสะดวกสบาย ครอบคลุมทุกบริการ และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ธนชาตประกันภัยจึงพร้อมที่จะให้บริการ ธนชาตประกันภัยออนไลน์”อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายของการบริการให้แก่ลูกค้า และถือเป็นบริการประกันภัยออนไลน์ที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคสังคมออนไลน์ที่ต้องการ ชีวิตอิสระ...คุณกำหนดเอง ได้อย่างแท้จริง  โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจใช้บริการในปีแรกนี้ประมาณ 30ของลูกค้าธนชาตประกันภัยทั้งหมด หรือประมาณ 730,000 ราย” นายพีระพัฒน์ กล่าวปิดท้าย

        ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ธนชาตประกันภัยออนไลน์” ได้ที่เว็บไซต์ธนชาต ประกันภัย www.thanachartinsurance.co.th หรือเฟซบุ๊ก www.facebook.com/Thanachartinsurance หรือ โทร. 1770 


Friday, February 6, 2015

บริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)พร้อมกลับเข้าเทรด 9 ก.พ. 2558 ABICOประกาศพร้อมกลับเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai 9 กุมภาพันธ์ 2558 นี้

นายกิตติ วิไลวรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ยืนยัน ABICOคุณสมบัติพร้อมในการเข้าเทรด ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง โดยบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีสอดคล้องกับเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ  และยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ย้ายหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทเข้าซื้อขายได้ปกติโดยการกลับเข้ามาซื้อขายในวันแรกของ ABICO นี้ จะไม่มีกรอบราคา (Ceiling & Floor)

ปัจจุบัน ABICOประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น หรือเป็นบริษัท Holding ที่ลงทุนในบริษัทแกน คือ บริษัท เอบิโก้ แดรี่ฟาร์ม จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตนมยูเอชที นมพาสเจอร์ไรส์ และน้ำผลไม้พาสเจอร์ไรส์ ให้กับผู้ผลิตและจำหน่ายนมประเภทยูเฮชที และน้ำผลไม้ ในประเทศและต่างประเทศ โดยสัดส่วนรายได้การรับจ้างผลิตนมยูเอชที นมพาสเจอร์ไรส์ และน้ำผลไม้พาสเจอร์ไรส์ กว่าร้อยละ 90 ซึ่งจากงบการเงินช่วง เดือนปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจากการประกอบธุรกิจ 421.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2556 จำนวน 121.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.61 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 34.2 ล้านบาทและกำไรสุทธิรวม 97.1 ล้านบาท

นอกจากนี้ ABICO เป็น Holding ที่ลงทุนในบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนร้อยละ 25.49ซึ่งถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ ในบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน)ซึ่งประกอบธุรกิจผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ และผลไม้กระป๋อง ในตราสินค้า มาลี” และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยอีก บริษัท


ปัจจุบันบริษัทมีสถานะทางการเงินที่ค่อนข้างมั่นคง โดยมีสินทรัพย์รวม 999.1 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 497.3 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 501.7 ล้านบาท และมีกำไรสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการรวม 89.3 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้ และเงินสำรองทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และการกันสำรองตามแผนงานต่างๆ ของบริษัทไว้แล้ว

Friday, January 30, 2015

บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ชุดใหม่ของบริษัทฯ สำหรับการก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปาแห่งที่ 2 (กระทุ่มแบน) จำนวน 2 ชุด ซึ่งแบ่งออกเป็น ชุดที่ 1 วงเงิน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี และชุดที่ 2 วงเงิน 500 ล้านบาท อายุ 5 ปี โดยได้มีการลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 58 ที่ผ่านมา ณ บริเวณลานหน้าห้องประชุม 1401 ชั้น 4 ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ
                ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่จะออกจำหน่ายทั้ง 2 ชุด ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ AA- จากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ในการเป็นภาคเอกชนผู้ผลิตน้ำประปารายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยคาดว่าหุ้นกู้ดังกล่าวจะเปิดจองในช่วง ก.พ. 58 นี้    

About us

About us

contact us

3272/119 citytower E2 Ladpraw 130rd bangkabi bangkok 10240 tel 027365705-9 ext 517 , 027365177
REPORTER TEAM MEMBER
somsak sooksripanich
chief editor /webmaster
somsak@thainews.co.cc tel 0865574693
somkiat sooksripanich
reporter
somkiat@thainews.co.cc tel 023757651
anukoon wisitsora-at
reporter
anukoon@thainews.co.cc tel 0865704961