ผลประกอบการเอสซีจีปี
2559
มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ
24
จากปีก่อน
เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจเคมีภัณฑ์
และต้นทุนพลังงาน
เชื่อมั่นปี
2560
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ส่วนอาเซียนดีอย่างต่อเนื่อง
พร้อมยังคงผลักดันการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี
เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
และตอบสนองต่อปัจจัยท้าทายต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายรุ่งโรจน์
รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่
เอสซีจี เปิดเผยว่า
งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี
ประจำปี 2559
มีรายได้จากการขาย
423,442
ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 4
จากปีก่อน
มีกำไร 56,084
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 24
จากปีก่อน
เนื่องจากผลการดำเนินงานจากธุรกิจเคมีภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก
112,549
ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 27
ของยอดขายรวม
ในไตรมาสที่สี่ปี
2559
เอสซีจีมีรายได้จากการขาย
99,613
ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 6
จากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน และลดลงร้อยละ 5
จากไตรมาสก่อน
จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง
มีกำไร 12,478
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 9
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากผลประกอบการของบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น
และลดลงร้อยละ 11
จากไตรมาสก่อน
เนื่องจากในไตรมาสนี้
มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน
Cracker
ของ
ROC
เป็นเวลา
40
วัน
และราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลงตามสถานการณ์แข่งขัน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน
ในปี 2559
เอสซีจี
มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน
97,669
ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 23
ของรายได้รวม
ลดลงร้อยละ 2
จากปีก่อน
เนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ประกอบกับราคาสินค้าปรับตัวลง
ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน
นอกเหนือจากประเทศไทย ณ
วันที่ 31
ธันวาคม
2559
มูลค่า
126,055
ล้านบาท
หรือประมาณร้อยละ 23
ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี
ณ วันที่ 31
ธันวาคม
2559
มีมูลค่า
539,688
ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี
2559
แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี
ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
ในปี 2559
มีรายได้จากการขาย
170,944
ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 4
จากปีก่อน
ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
มีกำไรสำหรับปี 8,492
ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 17
จากปีก่อน
เนื่องจาก EBITDA
ที่ลดลง
และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี
เคมิคอลส์
ในปี 2559
มีรายได้จากการขาย
188,163
ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 6
จากปีก่อน
เป็นผล มาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ในตลาดโดยรวมลดลง
กำไรสำหรับปี 42,084
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 48
จากปีก่อน
เนื่องจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์
และผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น
เอสซีจี
แพคเกจจิ้ง
ในปี 2559
มีรายได้จากการขาย
74,542
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 5
จากปีก่อน
มีกำไรสำหรับปี 3,565
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 3
จากปีก่อน
นายรุ่งโรจน์
กล่าวว่า
“ด้านการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์เอสซีจีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ซึ่งเอสซีจีเชื่อมั่นว่า
ภูมิภาคอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง
และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐ
รวมถึงการบริโภคในประเทศ
และการค้าขายระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน
ทั้งนี้ ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนเดินหน้าตามแผน
โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา
มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์
1.8
ล้านตันต่อปี
และโรงงานกระดาษคราฟท์ในประเทศเวียดนามโรงงานแห่งที่สอง
กำลังการผลิต 243,000
ตันต่อปี
ทำให้มีกำลังผลิตรวมเป็น
489,000
ตันต่อปี
ซึ่งทั้งโรงงานปูนซีเมนต์
และโรงงานกระดาษคราฟท์
ได้ผลิตสินค้าออกสู่ตลาดแล้วในต้นปี
2560
ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในสปป.ลาว
อยู่ระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องการผลิต
อย่างไรก็ตาม
เอสซีจีได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้
อาทิ การปรับตัวของราคาของวัตถุดิบเคมีภัณฑ์
และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
และธุรกิจบรรจุภัณฑ์
มีคู่แข่งที่มีศักยภาพ
และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
(GDP)
ในปี
2560
คาดการณ์ว่า
มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
จากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
อีกทั้ง มีการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชน
และการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ
จากการที่เอสซีจีได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม
(HVA)
อย่างต่อเนื่อง
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้อย่างรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ
อาทิ การสร้าง “สุขาเพื่อประชาชน”
ห้องสุขาน็อคดาวน์บริเวณท้องสนามหลวง
เสร็จภายใน 3
วัน
ด้วยการพัฒนานวัตกรรมระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปต่างๆ
ได้แก่ โครงสร้างระบบ
โมดูลาร์ของ SCG
Heim ระบบหลังคา
ผนังสมาร์ทบอร์ด เป็นต้น
โดยในปี
2559
เอสซีจีใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาไปกว่า
4,350
ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 24
จากปีก่อน
คิดเป็นร้อยละ 1
ของยอดขายรวม
สำหรับยอดขายสินค้า
HVAในปี
2559
คิดเป็น
160,910
ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 38
ของยอดขายรวม
นอกจากการพัฒนานวัตกรรมส่งผลให้มีรายได้ต่อเนื่อง
เอสซีจียังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร
ให้พนักงานสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแต่ยังคงประสิทธิภาพพร้อมปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง
และพฤติกรรมของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
คณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย
จำกัด (มหาชน)
(SCC)
ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี
2559
ในอัตราหุ้นละ
19.00
บาท
รวมเป็นเงินประมาณ 22,800
ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41%
ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม
ทั้งนี้
บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ
8.50
บาท
เป็นเงิน 10,198
ล้านบาท
เมื่อวันที่ 25
สิงหาคม
2559
และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ
10.50
บาท
รวมเป็นเงิน ประมาณ 12,600
ล้านบาท
ทั้งนี้
การจ่ายเงินปันผลดังกล่าว
ให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัท
ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ
วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล
ในวันที่ 7
เมษายน
2560
และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่
10
เมษายน
2560
(จะขึ้นเครื่องหมาย
XD
หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่
4
เมษายน
2560)
โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่
27
เมษายน
2560
และให้รับเงินปันผลภายใน
10
ปี
------------------------------