CYBER กำหนดช่วงราคา IPO ที่ 1.60-2บ./หุ้น มั่นใจนักลงทุนตอบรับเพียบ ชูจุดเด่นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง

'ไซเบอร์แพลนเน็ตฯ'ประกาศพร้อมขายหุ้นไอพีโอจำนวน 60 ล้านหุ้น กลางเดือนธันวาคมนี้ ที่ปรึกษาทางการเงิน เผย เบื้องต้นกำหนดช่วงราคาขายไว้ที่ 1.60- 2.00 บาท เผยมีดิสเค้าท์ 10-20% เชื่อนักลงทุนตอบรับเพียบ ด้าน”ชนินทร์ วานิชวงศ์” ผู้บริหาร ไม่หวั่นตลาดหุ้นผันผวน โชว์ศักยภาพปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง วางเป้ากำไรปี 53 โตก้าวกระโดด

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CYBER เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ว่าน่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ประมาณกลางเดือนธันวาคม 2552 ซึ่งในเบื้องต้นได้กำหนดช่วงราคาขายไว้ที่ 1.60- 2.00 บาท และคาดว่าจะสรุปราคาที่แท้จริงได้ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ จากการที่ผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอ มีส่วนลดให้กับนักลงทุนประมาณ 10-20% ทำให้เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

'ขณะนี้สำนักงานก.ล.ต. ได้อนุมัติข้อมูลไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว คาดว่าคงจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ จากการที่บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีความโดดเด่นในเรื่องรูปแบบการทำธุรกิจ จึงมั่นใจว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดี โดยช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ ' นายวรชาติ กล่าว

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CYBER กล่าวว่า บริษัทมั่นใจและไม่กังวลที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน เนื่องจากมั่นใจว่า พื้นฐานของบริษัทมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับทิศทางธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์เกมยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาเกมในรูปแบบ




ใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ซึ่งถือเป็นความแตกต่างจากคู่แข่ง ดังนั้นจึงทำให้เชื่อว่าหุ้นไอพีโอของบริษัทน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน

สำหรับเงินที่ได้รับจากการระดมทุน จะนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาซอฟท์แวร์เกม ใช้ลงทุนในอุปกรณ์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์เกม ขยายธุรกิจสถาบันพัฒนาทักษะในการเรียนรู้สำหรับเด็ก เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งรองรับการแข่งขันในอนาคต

อย่างไรก็ตามปี 2553 บริษัทตั้งเป้ากำไรขยายตัวแบบก้าวกระโดด จากปี 2552 ที่คาดว่าจะมีการเติบโตจากปี 2551 ที่มีผลกำไรประมาณ 10 ล้านบาทและเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่น จากปัจจุบันตลาดหลักอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงได้ลงทุนในธุรกิจสถาบันเสริมทักษะการเรียนรู้สำหรับเด็ก (Genius Planet ) โดยในปี 2553 ตั้งเป้าขยายสาขาให้ถึง 100 แห่งโดยคาดว่าแบ่งเป็นการขายแฟรนไชส์จำนวน 60 แห่ง และเปิดโดยบริษัทเองจำนวน 40 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 1 แห่ง