ห่วงเงินเฟ้อปี 51 พุ่ง 4% ลุ้นเสถียรภาพรัฐบาล

คลังมองเสถียรภาพรัฐบาลใหม่มีผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน มองนโยบายกระตุ้นรากหญ้าใช้ถูกจังหวะ แต่ต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณ ห่วงปีหน้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแตะ 4%
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่สามารถจัดการให้มีเสถียรภาพได้ก็จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ส่วนนโยบายเศรษฐกิจเท่าที่ประเมิน พบว่า หลายพรรคให้ความสำคัญกับการลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายระดับรากหญ้า ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การใช้จ่ายเงินสำหรับรากหญ้าจะต้องพิจารณาในกรอบวงเงินงบประมาณด้วยว่าสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน

สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.5 ในเดือนตุลาคม ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.1 จากร้อยละ 1 ซึ่งหากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง คาดว่า ปี 2551 ราคาน้ำมันจะอยู่ประมาณ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐ และราคาสินค้าปรับขึ้นหลังปีใหม่อัตราเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4 นางพรรณี กล่าว

นางพรรณี กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่า ยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกที่ขยายตัวได้ในระดับสูง โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 24.4% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นของทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มยานพาหนะ อัญมณี และเครื่องประดับ รวมทั้งสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และไก่ ที่มีความต้องการจากตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ส่วนการใช้จ่ายรัฐบาลยังมีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศด้านอัตราเงินเฟ้อ แม้จะปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันโลก แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก ส่วนอัตราการว่างงานก็ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.4% ของกำลังแรงงาน ขณะที่ ระดับทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศอยู่ในระดับ 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 3 เท่า ส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 37.8% ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลัง